Read it your way

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวแม่ฮ่องสอน#day2

Day2:
พี่คนเมื่อวานบอกว่า วันนี้เขาจะส่งเพื่อนของเขามารับพวกเราแทน เพราะเขาต้องไปทำงานมูลนิธิบนดอย ซึ่งเพื่อนของเขาก็มารับตรงเวลาดี ประมาณ8:30น. เป็นรถตู้อย่างดี เพราะวันนี้เราจะต้องเดินทางกันยาวไกลเลย จริงๆวันนี้แม่อยากไปดอยปุยไม่ก็บ้านน้ำเพียงดิน แต่ทางที่พักไม่แนะนำเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อน ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำที่นั่น เราเลยเที่ยวกันอยู่แถวๆนี้
 


 เริ่มจากถ้ำปลาก่อนเลยวันนี้
ตอนแรกที่ไปก็สงสัยว่าถ้ำปลาจะเป็นยังไง เมื่อไปถึงก็เหมือนกับว่ามันเป็นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ก็มีการดูแลที่เรียบร้อยดี ห้องน้ำสะอาด ทางเดินก็ไม่มีขยะ

ตอนที่อยู่ถ้ำปลายังเพิ่ง9โมงเช้า แดดอ่อนๆกำลังดี เราต้องเดินเข้าไปประมาณ500เมตร แต่เพราะธรรมชาติสวยงามมาก จึงไม่รู้สึกเหนื่อยเลย คุณยายที่มาด้วยก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่




นี่แหละคือถ้ำปลา เดินมาตั้งไกล ตัวถ้ำมีแค่นี้แหละ เห็นแล้วหลุดหัวเราะออกมาเลย

ข้างนอกจะมีร้านขายอาหารปลา แต่แปลก ปลาที่นี่ไม่ได้กินอาหารเป็นเหมือนที่เราเห็นตามทั่วไป เพราะปลาที่นี่เป็นปลามังสวิรัส กินผักกับแมลง ป้าคนขายยังบอกอีกว่า อาหารที่มันชอบที่สุด คือมะละกอดิบ กับ จักจั่น




ข้างหน้าตรงทางเข้า มีร้านกาแฟด้วย ตกแต่งสวยงามมาก เดินมาเหนื่อยๆ ก็ขอนั่งพักเอาแรงซะหน่อย





ต่อจากนั้นเราก็ตรงขึ้นดอยกันเลย
ไปปางอุ๋งกัน ปางอุ๋งเนี่ยเป็นอ่างเก็บน้ำในพระราชดำริ กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลานานพอสมควรเลย แต่ที่เห็นได้ทั่วไปคือสองข้างทางจะมีชาวบ้านออกมาทำไร่ทำสวน ปลูกต้นไม้กัน ซึ่งตอนนั้นมีแต่ไร่กะหล่ำปลีเต็มไปหมด ตลอดทาง ยิ่งสูงยิ่งมีไร่กะหล่ำใหญ่ๆมากขึ้น เห็นแล้วนึกถึงผักโครงการหลวงเลย






ปางอุ๋งจะเป็นที่นิยมมากในหน้าหนาว ผู้คนนิยมขึ้นมาตั้งแคมป์ข้างบนนี้ และมีบ้านพักรับรองอยู่เยอะพอสมควร โดยที่อ่างเก็บน้ำจะมีทะเลหมอกด้วย เห็นจากภาพแล้วรู้สึกเสียดายมากที่ไมได้มาช่วงฤดูหนาว


 ตอนเรามาถึงน้ำน้อยมากเพราะเป็นหน้าร้อน แดดแรงเปรี้ยง แต่แปลกมากๆเพราะอากาศยังหนาวอยู่ ลมพัดเย็นสบาย บรรยากาศบอกเลยว่า เราอยู่บนดอยแล้วนะ สูดอากาศรับโอโซนเต็มที่เลย




เมื่อลงมาจากปางอุ๋งแล้ว พี่คนขับรถก็พาพวกเราขึ้นไปรับประทานอาหารเที่ยงที่หมู่บ้านรักไทย ซึ่งอากาศหนาวกว่าที่ปางอุ๋งอีก คราวนี้ ระหว่างทางไม่ได้เห็นแค่ไร่กะหล่ำแล้ว เพราะด้วยระดับความสูงที่เพิ่มมากขึ้น จึงเริ่มเห็นไร่ชาอยู่ตามแนวเขาสองข้างทาง แต่เนื่องจากความหวาดเสียวของเส้นทางรวมทั้งพวกเราเริ่มมีอาการคลื่นไส้กันแล้วเพราะท้องว่าง ทำให้ไม่มีใครได้ถ่ายรูปบรรยากาศระหว่างทางเอาไว้เลย



       ข้างบนหมู่บ้าน มีบรรยากาศเหมือนว่าเราหลุดออกมาอีกประเทศแล้ว เหมือนว่าเรากำลังอยู่ในประเทศจีน บ้านเรือนสร้างจากดินเหนียว เหมือนในภาพยนตร์จีนสมัยก่อน บ้านเรือนตกแต่งสไตล์จีน แขวนโคมไฟ แต่งด้วยไม้สลัก ร้านอาหารจะเป็นร้านอาหารจีน-ยูนาน ส่วนร้านค้าก็จะขายของที่นำเข้ามาจากจีน ผลไม้อบแห้ง(ส่วนมากจะเป็นของเปรี้ยว เช่นพวกบ๊วย, มะม่วง แก้อาการคลื่นไส้) และชาที่พวกเขาปลูกเอง ซึ่งของพวกนี้มีราคาถูกมาก ไม่แพงเหมือนหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่บ้านห้วยเสือเฒ่า
ข้างบนนี้มีทะเลสาบใหญ่อยู่ด้วย เป็นทะเลสาปที่อยู่ทามกลางหุบเขาบนดอยที่มีอากาศหนาวมาก เราไม่อยากจะจินตนาการด้วยซ้ำว่าทะเลสาปแห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลกี่กิโลเมตร

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เราก็ลงมาจากดอย กว่าจะลงมาถึงตัวเมืองพวกเราก็หมดสภาพ เพราะอิ่มมากและผ่านเส้นทางอันแสนทรหดมาหลายชั่วโมง พวกเราเลยขอให้พี่คนขับมาส่งที่พักและสลบถึงเย็น

DAY3:
เช้าวันต่อมาเราก็เข้าไปจองตั๋วเพื่อจะเข้าไป ปาย แต่รถรอบเที่ยงเต็ม เหลือรอบบ่ายสองเป็นรอบที่เร็วสุด พวกเราเลยต้องติดอยู่ที่นี่ต่ออีก4ชั่วโมง เราก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยอ่านเจอว่ามีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่งในตัวเมือง ใครมาที่แม่ฮ่องสอนต้องแวะไปร้านนี้ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงจ.แม่ฮ่องสอน พวกเราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่ขนส่งฯ แล้วพากันกระโดดขึ้นตุ๊กตุ๊ก ไม่ต้องพูดอะไรกันมากเพราะร้านมันดังอยู่แล้ว

ร้านกาแฟที่ว่าก็คือร้านคอฟฟี่มอร์นิ่ง (Coffeemorning) นั่นเอง




    ร้านนี้ นอกจากชั้นล่างจะเป็นร้านกาแฟที่น่านั่งที่สุดในตัวเมือง มีเมนูแหวกแนว อาหารรสชาติอร่อย มีwifiและหนังสือมากมายให้อ่านแล้ว ชั้นบนยังเปิดเป็นโฮมสเตย์อีกด้วย เพียงแต่ว่าไม่เหมาะกับบรรยากาศหน้าร้อนแบบนี้ เนื่องจากเป็นห้องพัดลม




      อย่างที่บอกว่าร้านนี้ถือเป็นsignatureของจ.แม่ฮ่องสอนเลยก็ว่าได้ แต่ที่แปลกคือ พวกเราเจอคนหน้าคุ้นๆ จะไม่ให้คุ้นได้ไงก็เขาคือพี่เจ้าของร้านความทรงจำบนพระธาตุดอยกองมู นี่นา สรุปก็คือว่า ร้านคอฟฟี่มอร์นิ่งกับร้านความทรงจำมีเจ้าของเดียวกัน และเนื่องจากว่าเรามาอุดหนุนเค้าทั้งสองร้านแล้ว ก็เป็นธรรมดาของคนไทยที่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ้าง พวกเราเลยเล่าให้พี่เขาฟังไปว่าพวกเรามาจองรถรอบเที่ยงไม่ทัน เลยต้องรออีก4ชั่วโมง พี่เขาก็ใจดีมากๆเลยค่ะ บอกพวกเราว่านั่งอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลาได้ และยังอาสาไปส่งเราที่สถานีขนส่งฯด้วย เป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยนะคะว่าคนแม่ฮ่องสอนเขาใจดีกันแค่ไหน นี่ขนาดไม่รู้จักกันยังช่วงเหลือกันขนาดนี้

บอกได้เลยว่าแม่ฮ่องสอนเป็นอีกจังหวัดที่หลายๆคนควรลองไปเที่ยวกัน อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปอีกครั้งแน่ๆ ครั้งหน้าเราจะไปช่วงฤดูหนาวและไปค้างคืนบนดอยปุยด้วย 


      
     หลายๆคนที่กลัวว่าอ.เมืองจะไม่ค่อยเจริญและทำให้ไม่สะดวกในการเดินทางนั้นหายห่วงได้เลยนะคะ เพราะไม่ว่ายังไงที่นี่ก็เป็นอ.เมือง สถานที่และปัจจัยที่สำคัญและจำเป็น ย่อมมีพร้อมอยู่แล้ว อีกอย่างถ้าคุณได้มาเหยียบที่นี่ซักครั้งนึงแล้ว มันจะเป็นประสบการณ์ที่ประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืมเลยละค่ะ


ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนกันเถอะ

เมื่อปลายเดือนเมษายน'56ที่ผ่านมา แม่เรามีทริปดีๆมาเสนอ
เพราะว่าตั้งแต่เราเข้ามาเรียนกรุงเทพฯก็แทบไม่ได้กลับบ้านเลย อีกอย่าง คุณยายของเราอายุอานามก็ปาไป70กว่าๆแล้ว ถ้าไม่รีบใช้เวลาให้คุ้มค่า กลัวว่าจะไม่ทันการ
คุณแม่ของเราเลยเสนอว่า เฮ้ย เราไปเที่ยวเหนือกันดีป่าววว เพราะว่าไม่ได้ไปมานานแล้ว
ทริปที่เราจะไปเนี่ย จริงๆเป็นทริป เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน
แต่เราจะมาพูดถึงแม่ฮ่องสอนกันดีกว่า เพราะว่ามันเป็นเมืองเล็กๆ ที่ค่อนข้างน่าสนใจ 

ถ้าจะพูดถึงแม่ฮ่องสอนเนี่ย หลายๆคนอาจจะนึกถึง "ปาย" ซึ่งจริงๆแล้ว "ปาย"ก็เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่นเอง โดยทริปครั้งนี้ เราก็ไป ปาย ด้วยนั่นแหละ แต่ว่าปายคงมีคนพูดถึงเยอะแล้ว  
 อีกอย่าง  อ.ปายมีความเจริญก้าวหน้ามาก มากกว่าอ.เมืองอยู่เยอะทีเดียว มีโรงพยาบาลใหญ่ๆ มีถนนคนเดินแทบทุกเย็น มีนักท่องเที่ยวมากมาย มีที่พักสวยงาม ลักษณะอาคารบ้านเรือนก็มีรูปแบบที่สร้างสรรค์ เหมาะกับเป็นเมืองท่องเที่ยว ทั้งๆที่อ.ปายเป็นอำเภอเล็กๆ ตัวเมืองหลักมีถนน3หลักๆแค่สายเอง เราสามารถเดินไปเดินมา จากที่พัก เข้าตัวเมือง ไปร้านต่างๆได้ ถ้ามีสุขภาพและกล้ามเนื้อขาที่ดีพอ 
นี่ไง สถานที่ถ่ายทำทั้งละครและหนังดังๆหลายเรื่อง ที่รู้ๆก็มี Pai in love และ อุบัติรักข้ามขอบฟ้า2
 
เพราะเหตุผลนี้ เราจึงอยากที่จะเล่าถึงอำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน ให้ทุกคนได้อ่านกัน

การจะเดินทางไป อ.เมืองของ จ.แม่ฮ่องสอนเนี่ย ก็มีด้วยกันหลายวิธี 
แต่ที่นิยมกันส่วนใหญ่ก็จะเป็น
1. นั่งเครื่องบิน จากสนามบินเชียงใหม่ไปลงสนามบินแม่ฮ่องสอน (เราใช้วิธีนี้นะคะ)
2. นั่งรถตู้, เช่ารถ หรือ ขับรยนต์ไปเอง (ซึ่งขอบอกว่าไม่แนะนำเพราะ กว่าจะมาถึงแม่ฮ่องสอนได้เนี่ย เขาบอกว่าต้องผ่านโค้งมากกว่า1,000โค้ง ซึ่งกว่าจะถึงที่หมาย ความคลื่นไส้และความทรมานของการเดินทางก็คงจะทำให้เสียอรรถรสของการท่องเที่ยว, อีกอย่าง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย)

 ถึงแล้วววววว แม่ฮ่องสอนน!!!!
 เครื่องบินที่บินมาเป็นลำเล็กมาก มีแค่20-30ที่นั่งเท่านั้นเพราะว่าเป็นฤดูร้อน (คนนิยมมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนในฤดูหนาวมากกว่า)

เมื่อลงมาแล้ว ก็อย่างที่บอกว่าตัวอ.เมืองไม่ค่อยจะเจริญเท่าไร เลยไม่มีแท๊กซี่นะคะ แต่ก็มีตุ๊กตุ๊ก

ตุ๊กตุ๊กที่นี่เก็บเงินไม่แพงเท่าไร่ ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะคะว่าจะโดนหลอก ไว้ใจได้ค่ะ ส่วนมากพวกเขาก็จะให้นามบัตรเรามาเก็บไว้ เผื่อว่าถ้าเราจะออกจากที่พัก หรือไปเที่ยวที่ไหน ก้จะได้โทรฯตามเขาได้ เพราะว่าสถานที่ท่องเที่ยวในจ.แม่ฮ่องสอนอยู่ห่างกัน และโรงแรมที่พักกับตัวเมืองก็อยู่ห่างกันด้วย (ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองก็มีนะ แต่แม่เราไม่ได้จองไว้)

DAY1:
มาถึงที่พักประมาณ10:40น. แม่จองที่พักผ่านเว็บagodaค่ะ เพราะฉะนั้นเลยไว้ใจได้ แต่ว่าที่พักอยู่ไกลมากเลย และใกล้ๆบริเวณที่พักก็ไม่มีร้านค้าอะไรเลย เวลาจะกินอะไร ต้องซื้อเก็บเอาไว้จาก7/11ในตัวเมือง

หลังจากเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้ว แม่ก็ออกมาสอบถามกับทางที่พักเรื่องเหมารถขึ้นดอย เขาก็แนะนำให้ แถมยังแนะนำว่าควรจะไปที่ไหนก่อน-หลังด้วย บริการดีมากเลยค่ะ สมแล้วที่พวกเขาอยู่เมืองท่องเที่ยว พอตกลงได้แล้วก็โทรฯนัดกัน เขาบอกว่าจะมารับพวกเราตอนเที่ยงกว่าๆ ให้พวกเราเข้มารับประทานอาหารเที่ยงในเมืองแล้วไปรออยู่ที่วัดจองกลางและวัดจองคำ

วัดจองกลางและวัดจองคำเป็นวัดที่แปลกที่สุดเท่าที่เราเคย เห็นมาในชีวิต ต้องอ่านๆเอาจากบอร์ดความรู้ในวัด ถึงเข้าใจว่ามันเป็นสถาปัตยกรรมของชาวไทยใหญ่และเจดีย์ที่เห็นก็เป็นแบบของชาวไทย ใหญ๋ที่เรียกว่า "กองมู"

วัดสองวัดนี้เป็นวัดแฝดกัน ตั้งอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน ตัวพระธาตุเจดีย์เป็นของวัดจองคำ ส่วนตัวโบสถ์วัดเป็นของวัดจองกลาง 

ถึงแม้ว่าวันที่เราไป จะมีพยากรอากาศบอกว่า วันนั้นเป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุด แต่คงเป็นเพราะว่า ที่นี่เป็นวัดที่แปลกและแทบไม่เหมือนวัดทั่วไปที่เราเคยเห็น ทำให้เราแทบไม่สนใจแดดที่ส่องเปรี้ยงปร้างลงมาตอนเที่ยงตรงเลย เราเดินดูไปรอบๆ ทั้งๆที่ผิวแสบไปหมด แต่รับประกันเลยว่า คุ้มมากๆ เพราะว่าวัดทั้งสองนี้ เป็นวัดที่สวยงามมากๆจริงๆ


ในตัวโบสถ์ของวัดของกลางมีพระพุทธรูปสานจากไม้ไผ่ที่สวยและงดงามมาก ดูจากความเหมือนจริงแล้ว คงใช้เวลาสานอยู่นานไม่ใช่น้อย เดินไปมาในโบสถ์ ทำให้รู้ว่านี่คงเป็นวัดที่เก่าแก่มาก เพราะมีของเก่าๆมากมาย และยังมีห้องพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเครื่องแกะสลักไม้เก่าๆอีกด้วย

    ไม่นานมาก ก็มีรถมารับพวกเรา ถือว่าพวกเราโชคดีมากทีเดียว เพราะพี่ที่มาขับรถให้พวกเราเป็นพนักงานของมูลนิธิอะไรซักอย่างที่ให้ความช่วยเหลือพวกชาวเขา เขาเลยให้ความรู้พวกเราหลายอย่างมากๆ การขับรถของพี่เขาค่อนข้างนิ่มนวลทำให้เราไม่มีอาการเมารถเลย คุณยายก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลื่นไส้ ทำให้เราดูสองข้างทางกันอย่างสนุกสนาน หมู่บ้านที่เราจะไปคือหมู่บ้านห้วยเสือเฒ่าซึ่งเป็นที่ที่พี่คนขับรถเขาแนะนำมา

 ขับรถไปไม่นานก็ถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว ยอมรับเลยว่ารู้สึกสงสารพวกเขานิดๆเหมือนกันนะ เพราะว่าดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้รับการศึกษามากพอ บางคนพูดภาษาไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องมาอยู่ในหมู่บ้านให้คนเขามาถ่ายรูปเหมือนเป็นสิ่งของ แต่อีกมุมหนึ่งก็คิดว่าโชคดีที่ยังมีคนแบบนี้เหลืออยู่ให้พวกเราเห็นเป็นบุญตา



     ผ้าที่เห็นแขวนอยู่ก็เป็นผ้าที่พวกเขาทอกันเองเหมือนภาพข้างบน แต่ของส่วนใหญ่ที่ตั้งขาย มีราคาที่สูงมาก และรูปแบบก็คล้ายๆกันทุกๆร้าน ที่สำคัญคือต้องระวังพวกเขาจะหลอกตั้งราคาสูงเกินจริง (เพราะไม่ได้มีคนเข้ามาหมู่บ้านเขาบ่อยๆ พวกเราควรจะพยายามเข้าใจพวกเขา และต่อราคาเขาไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ยอมลดให้ก็เดินหนีเลย เดี่ยวเขาก็ลดให้เอง)





สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ทุกบ้านในหมู่บ้านนี้ มีรูปในหลวงติดอยู่ เป็นภาพที่น่าประทับใจมากจริงๆ


ขากลับ พี่คนขับรถพามาแวะที่ พระธาตุดอยกองมู พระธาตุชื่อดังประจำจ.แม่ฮ่องสอน
   "หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี
     ผู้คนดี  ประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง"



ข้างบนพระธาตุมีมุมให้ถ่ายรูป ซึ่งจะสามารถเห็นตัวเมืองได้ตั้งเมือง แบบชัดแจ๋ว หลังจากไหว้พระธาตุเสร็จ พวกเราก็เลยไปถ่ายรูปกัน

ความจริงแล้วเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะมาพระธาตุดอยกองมูคือตอนเย็น เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากๆ แต่คุณแม่ของเราเขามาธุระต้องรีบกลับที่พัก เลยออกมาตอนเย็นไม่ได้

ใกล้ๆกับตัวพระธาตุมีร้านกาแฟหลบมุมอยู่ตรงบริเวณที่จอดรถ ชื่อร้าน ความทรงจำ ร้านนี้มีบรรยากาศที่น่านั่งมากและยังเป็นที่นิยมมากในตอนเย็นเพราะเป็นจุดชมวิว ผู้คนมักจะมานั่งจิบกาแฟ ทานขนม นั่งดูพระอาทิตย์ตกจากร้านนี้

หลังจากที่ซื้อเครื่องดื่มกันไปคนละแก้วแล้ว พี่คนขับรถก็พาพวกเรากลับมาถึงที่พักโดยสวัสดิ์ภาพ ตั้งแต่ยังไม่ถึง4โมงเย็นด้วยซ้ำ ถือว่าพวกเราใช้เวลาเที่ยววันแรกแค่ดิดเดียวเอง แต่เพราะแม่มีงานต้องกลับไปทำ และเพราะเย็นวันนั้นฝนตกเลยไม่มีตลาดในเมือง ทำให้พวกเราต้องติดแหง็กอยู่ในที่พักจนค่ำ



แต่ไม่ต้องห่วง 
เพราะแค่เปิดทีวีก็เจอคุณชายหมอแล้วค่าาา