Day2:
พี่คนเมื่อวานบอกว่า วันนี้เขาจะส่งเพื่อนของเขามารับพวกเราแทน เพราะเขาต้องไปทำงานมูลนิธิบนดอย ซึ่งเพื่อนของเขาก็มารับตรงเวลาดี ประมาณ8:30น. เป็นรถตู้อย่างดี เพราะวันนี้เราจะต้องเดินทางกันยาวไกลเลย จริงๆวันนี้แม่อยากไปดอยปุยไม่ก็บ้านน้ำเพียงดิน แต่ทางที่พักไม่แนะนำเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อน ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำที่นั่น เราเลยเที่ยวกันอยู่แถวๆนี้
เริ่มจากถ้ำปลาก่อนเลยวันนี้
ตอนแรกที่ไปก็สงสัยว่าถ้ำปลาจะเป็นยังไง เมื่อไปถึงก็เหมือนกับว่ามันเป็นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ก็มีการดูแลที่เรียบร้อยดี ห้องน้ำสะอาด ทางเดินก็ไม่มีขยะ
ตอนที่อยู่ถ้ำปลายังเพิ่ง9โมงเช้า แดดอ่อนๆกำลังดี เราต้องเดินเข้าไปประมาณ500เมตร แต่เพราะธรรมชาติสวยงามมาก จึงไม่รู้สึกเหนื่อยเลย คุณยายที่มาด้วยก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

นี่แหละคือถ้ำปลา เดินมาตั้งไกล ตัวถ้ำมีแค่นี้แหละ เห็นแล้วหลุดหัวเราะออกมาเลย
ข้างนอกจะมีร้านขายอาหารปลา แต่แปลก ปลาที่นี่ไม่ได้กินอาหารเป็นเหมือนที่เราเห็นตามทั่วไป เพราะปลาที่นี่เป็นปลามังสวิรัส กินผักกับแมลง ป้าคนขายยังบอกอีกว่า อาหารที่มันชอบที่สุด คือมะละกอดิบ กับ จักจั่น

ต่อจากนั้นเราก็ตรงขึ้นดอยกันเลย
ไปปางอุ๋งกัน ปางอุ๋งเนี่ยเป็นอ่างเก็บน้ำในพระราชดำริ กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลานานพอสมควรเลย แต่ที่เห็นได้ทั่วไปคือสองข้างทางจะมีชาวบ้านออกมาทำไร่ทำสวน ปลูกต้นไม้กัน ซึ่งตอนนั้นมีแต่ไร่กะหล่ำปลีเต็มไปหมด ตลอดทาง ยิ่งสูงยิ่งมีไร่กะหล่ำใหญ่ๆมากขึ้น เห็นแล้วนึกถึงผักโครงการหลวงเลย
ปางอุ๋งจะเป็นที่นิยมมากในหน้าหนาว ผู้คนนิยมขึ้นมาตั้งแคมป์ข้างบนนี้ และมีบ้านพักรับรองอยู่เยอะพอสมควร โดยที่อ่างเก็บน้ำจะมีทะเลหมอกด้วย เห็นจากภาพแล้วรู้สึกเสียดายมากที่ไมได้มาช่วงฤดูหนาว
ข้างบนหมู่บ้าน มีบรรยากาศเหมือนว่าเราหลุดออกมาอีกประเทศแล้ว เหมือนว่าเรากำลังอยู่ในประเทศจีน บ้านเรือนสร้างจากดินเหนียว เหมือนในภาพยนตร์จีนสมัยก่อน บ้านเรือนตกแต่งสไตล์จีน แขวนโคมไฟ แต่งด้วยไม้สลัก ร้านอาหารจะเป็นร้านอาหารจีน-ยูนาน ส่วนร้านค้าก็จะขายของที่นำเข้ามาจากจีน ผลไม้อบแห้ง(ส่วนมากจะเป็นของเปรี้ยว เช่นพวกบ๊วย, มะม่วง แก้อาการคลื่นไส้) และชาที่พวกเขาปลูกเอง ซึ่งของพวกนี้มีราคาถูกมาก ไม่แพงเหมือนหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่บ้านห้วยเสือเฒ่า
ข้างบนนี้มีทะเลสาบใหญ่อยู่ด้วย เป็นทะเลสาปที่อยู่ทามกลางหุบเขาบนดอยที่มีอากาศหนาวมาก เราไม่อยากจะจินตนาการด้วยซ้ำว่าทะเลสาปแห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลกี่กิโลเมตร
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เราก็ลงมาจากดอย กว่าจะลงมาถึงตัวเมืองพวกเราก็หมดสภาพ เพราะอิ่มมากและผ่านเส้นทางอันแสนทรหดมาหลายชั่วโมง พวกเราเลยขอให้พี่คนขับมาส่งที่พักและสลบถึงเย็น
DAY3:
เช้าวันต่อมาเราก็เข้าไปจองตั๋วเพื่อจะเข้าไป ปาย แต่รถรอบเที่ยงเต็ม เหลือรอบบ่ายสองเป็นรอบที่เร็วสุด พวกเราเลยต้องติดอยู่ที่นี่ต่ออีก4ชั่วโมง เราก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยอ่านเจอว่ามีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่งในตัวเมือง ใครมาที่แม่ฮ่องสอนต้องแวะไปร้านนี้ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงจ.แม่ฮ่องสอน พวกเราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่ขนส่งฯ แล้วพากันกระโดดขึ้นตุ๊กตุ๊ก ไม่ต้องพูดอะไรกันมากเพราะร้านมันดังอยู่แล้วร้านกาแฟที่ว่าก็คือร้านคอฟฟี่มอร์นิ่ง (Coffeemorning) นั่นเอง
ร้านนี้ นอกจากชั้นล่างจะเป็นร้านกาแฟที่น่านั่งที่สุดในตัวเมือง มีเมนูแหวกแนว อาหารรสชาติอร่อย มีwifiและหนังสือมากมายให้อ่านแล้ว ชั้นบนยังเปิดเป็นโฮมสเตย์อีกด้วย เพียงแต่ว่าไม่เหมาะกับบรรยากาศหน้าร้อนแบบนี้ เนื่องจากเป็นห้องพัดลม
อย่างที่บอกว่าร้านนี้ถือเป็นsignatureของจ.แม่ฮ่องสอนเลยก็ว่าได้ แต่ที่แปลกคือ พวกเราเจอคนหน้าคุ้นๆ จะไม่ให้คุ้นได้ไงก็เขาคือพี่เจ้าของร้านความทรงจำบนพระธาตุดอยกองมู นี่นา สรุปก็คือว่า ร้านคอฟฟี่มอร์นิ่งกับร้านความทรงจำมีเจ้าของเดียวกัน และเนื่องจากว่าเรามาอุดหนุนเค้าทั้งสองร้านแล้ว ก็เป็นธรรมดาของคนไทยที่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ้าง พวกเราเลยเล่าให้พี่เขาฟังไปว่าพวกเรามาจองรถรอบเที่ยงไม่ทัน เลยต้องรออีก4ชั่วโมง พี่เขาก็ใจดีมากๆเลยค่ะ บอกพวกเราว่านั่งอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลาได้ และยังอาสาไปส่งเราที่สถานีขนส่งฯด้วย เป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยนะคะว่าคนแม่ฮ่องสอนเขาใจดีกันแค่ไหน นี่ขนาดไม่รู้จักกันยังช่วงเหลือกันขนาดนี้
บอกได้เลยว่าแม่ฮ่องสอนเป็นอีกจังหวัดที่หลายๆคนควรลองไปเที่ยวกัน อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปอีกครั้งแน่ๆ ครั้งหน้าเราจะไปช่วงฤดูหนาวและไปค้างคืนบนดอยปุยด้วย

หลายๆคนที่กลัวว่าอ.เมืองจะไม่ค่อยเจริญและทำให้ไม่สะดวกในการเดินทางนั้นหายห่วงได้เลยนะคะ เพราะไม่ว่ายังไงที่นี่ก็เป็นอ.เมือง สถานที่และปัจจัยที่สำคัญและจำเป็น ย่อมมีพร้อมอยู่แล้ว อีกอย่างถ้าคุณได้มาเหยียบที่นี่ซักครั้งนึงแล้ว มันจะเป็นประสบการณ์ที่ประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืมเลยละค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น