เพราะว่าตั้งแต่เราเข้ามาเรียนกรุงเทพฯก็แทบไม่ได้กลับบ้านเลย อีกอย่าง คุณยายของเราอายุอานามก็ปาไป70กว่าๆแล้ว ถ้าไม่รีบใช้เวลาให้คุ้มค่า กลัวว่าจะไม่ทันการ
คุณแม่ของเราเลยเสนอว่า เฮ้ย เราไปเที่ยวเหนือกันดีป่าววว เพราะว่าไม่ได้ไปมานานแล้ว
ทริปที่เราจะไปเนี่ย จริงๆเป็นทริป เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน
แต่เราจะมาพูดถึงแม่ฮ่องสอนกันดีกว่า เพราะว่ามันเป็นเมืองเล็กๆ ที่ค่อนข้างน่าสนใจ
ถ้าจะพูดถึงแม่ฮ่องสอนเนี่ย หลายๆคนอาจจะนึกถึง "ปาย" ซึ่งจริงๆแล้ว "ปาย"ก็เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่นเอง โดยทริปครั้งนี้ เราก็ไป ปาย ด้วยนั่นแหละ แต่ว่าปายคงมีคนพูดถึงเยอะแล้ว
อีกอย่าง อ.ปายมีความเจริญก้าวหน้ามาก มากกว่าอ.เมืองอยู่เยอะทีเดียว มีโรงพยาบาลใหญ่ๆ มีถนนคนเดินแทบทุกเย็น มีนักท่องเที่ยวมากมาย มีที่พักสวยงาม ลักษณะอาคารบ้านเรือนก็มีรูปแบบที่สร้างสรรค์ เหมาะกับเป็นเมืองท่องเที่ยว ทั้งๆที่อ.ปายเป็นอำเภอเล็กๆ ตัวเมืองหลักมีถนน3หลักๆแค่สายเอง เราสามารถเดินไปเดินมา จากที่พัก เข้าตัวเมือง ไปร้านต่างๆได้ ถ้ามีสุขภาพและกล้ามเนื้อขาที่ดีพอ
นี่ไง สถานที่ถ่ายทำทั้งละครและหนังดังๆหลายเรื่อง ที่รู้ๆก็มี Pai in love และ อุบัติรักข้ามขอบฟ้า2
เพราะเหตุผลนี้ เราจึงอยากที่จะเล่าถึงอำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน ให้ทุกคนได้อ่านกัน
การจะเดินทางไป อ.เมืองของ จ.แม่ฮ่องสอนเนี่ย ก็มีด้วยกันหลายวิธี
แต่ที่นิยมกันส่วนใหญ่ก็จะเป็น
1. นั่งเครื่องบิน จากสนามบินเชียงใหม่ไปลงสนามบินแม่ฮ่องสอน (เราใช้วิธีนี้นะคะ)
2. นั่งรถตู้, เช่ารถ หรือ ขับรยนต์ไปเอง (ซึ่งขอบอกว่าไม่แนะนำเพราะ กว่าจะมาถึงแม่ฮ่องสอนได้เนี่ย เขาบอกว่าต้องผ่านโค้งมากกว่า1,000โค้ง ซึ่งกว่าจะถึงที่หมาย ความคลื่นไส้และความทรมานของการเดินทางก็คงจะทำให้เสียอรรถรสของการท่องเที่ยว, อีกอย่าง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย)
ถึงแล้วววววว แม่ฮ่องสอนน!!!!
เครื่องบินที่บินมาเป็นลำเล็กมาก มีแค่20-30ที่นั่งเท่านั้นเพราะว่าเป็นฤดูร้อน (คนนิยมมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนในฤดูหนาวมากกว่า)
เมื่อลงมาแล้ว ก็อย่างที่บอกว่าตัวอ.เมืองไม่ค่อยจะเจริญเท่าไร เลยไม่มีแท๊กซี่นะคะ แต่ก็มีตุ๊กตุ๊ก
ตุ๊กตุ๊กที่นี่เก็บเงินไม่แพงเท่าไร่ ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะคะว่าจะโดนหลอก ไว้ใจได้ค่ะ ส่วนมากพวกเขาก็จะให้นามบัตรเรามาเก็บไว้ เผื่อว่าถ้าเราจะออกจากที่พัก หรือไปเที่ยวที่ไหน ก้จะได้โทรฯตามเขาได้ เพราะว่าสถานที่ท่องเที่ยวในจ.แม่ฮ่องสอนอยู่ห่างกัน และโรงแรมที่พักกับตัวเมืองก็อยู่ห่างกันด้วย (ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองก็มีนะ แต่แม่เราไม่ได้จองไว้)
DAY1:

หลังจากเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้ว แม่ก็ออกมาสอบถามกับทางที่พักเรื่องเหมารถขึ้นดอย เขาก็แนะนำให้ แถมยังแนะนำว่าควรจะไปที่ไหนก่อน-หลังด้วย บริการดีมากเลยค่ะ สมแล้วที่พวกเขาอยู่เมืองท่องเที่ยว พอตกลงได้แล้วก็โทรฯนัดกัน เขาบอกว่าจะมารับพวกเราตอนเที่ยงกว่าๆ ให้พวกเราเข้มารับประทานอาหารเที่ยงในเมืองแล้วไปรออยู่ที่วัดจองกลางและวัดจองคำ

วัดสองวัดนี้เป็นวัดแฝดกัน ตั้งอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน ตัวพระธาตุเจดีย์เป็นของวัดจองคำ ส่วนตัวโบสถ์วัดเป็นของวัดจองกลาง
ถึงแม้ว่าวันที่เราไป จะมีพยากรอากาศบอกว่า วันนั้นเป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุด แต่คงเป็นเพราะว่า ที่นี่เป็นวัดที่แปลกและแทบไม่เหมือนวัดทั่วไปที่เราเคยเห็น ทำให้เราแทบไม่สนใจแดดที่ส่องเปรี้ยงปร้างลงมาตอนเที่ยงตรงเลย เราเดินดูไปรอบๆ ทั้งๆที่ผิวแสบไปหมด แต่รับประกันเลยว่า คุ้มมากๆ เพราะว่าวัดทั้งสองนี้ เป็นวัดที่สวยงามมากๆจริงๆ
ในตัวโบสถ์ของวัดของกลางมีพระพุทธรูปสานจากไม้ไผ่ที่สวยและงดงามมาก ดูจากความเหมือนจริงแล้ว คงใช้เวลาสานอยู่นานไม่ใช่น้อย เดินไปมาในโบสถ์ ทำให้รู้ว่านี่คงเป็นวัดที่เก่าแก่มาก เพราะมีของเก่าๆมากมาย และยังมีห้องพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเครื่องแกะสลักไม้เก่าๆอีกด้วย
ไม่นานมาก ก็มีรถมารับพวกเรา ถือว่าพวกเราโชคดีมากทีเดียว เพราะพี่ที่มาขับรถให้พวกเราเป็นพนักงานของมูลนิธิอะไรซักอย่างที่ให้ความช่วยเหลือพวกชาวเขา เขาเลยให้ความรู้พวกเราหลายอย่างมากๆ การขับรถของพี่เขาค่อนข้างนิ่มนวลทำให้เราไม่มีอาการเมารถเลย คุณยายก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลื่นไส้ ทำให้เราดูสองข้างทางกันอย่างสนุกสนาน หมู่บ้านที่เราจะไปคือหมู่บ้านห้วยเสือเฒ่าซึ่งเป็นที่ที่พี่คนขับรถเขาแนะนำมา
ผ้าที่เห็นแขวนอยู่ก็เป็นผ้าที่พวกเขาทอกันเองเหมือนภาพข้างบน แต่ของส่วนใหญ่ที่ตั้งขาย มีราคาที่สูงมาก และรูปแบบก็คล้ายๆกันทุกๆร้าน ที่สำคัญคือต้องระวังพวกเขาจะหลอกตั้งราคาสูงเกินจริง (เพราะไม่ได้มีคนเข้ามาหมู่บ้านเขาบ่อยๆ พวกเราควรจะพยายามเข้าใจพวกเขา และต่อราคาเขาไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ยอมลดให้ก็เดินหนีเลย เดี่ยวเขาก็ลดให้เอง)
สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ทุกบ้านในหมู่บ้านนี้ มีรูปในหลวงติดอยู่ เป็นภาพที่น่าประทับใจมากจริงๆ
ขากลับ พี่คนขับรถพามาแวะที่ พระธาตุดอยกองมู พระธาตุชื่อดังประจำจ.แม่ฮ่องสอน
"หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี
ผู้คนดี ประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง"
ข้างบนพระธาตุมีมุมให้ถ่ายรูป ซึ่งจะสามารถเห็นตัวเมืองได้ตั้งเมือง แบบชัดแจ๋ว หลังจากไหว้พระธาตุเสร็จ พวกเราก็เลยไปถ่ายรูปกัน
ความจริงแล้วเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะมาพระธาตุดอยกองมูคือตอนเย็น เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากๆ แต่คุณแม่ของเราเขามาธุระต้องรีบกลับที่พัก เลยออกมาตอนเย็นไม่ได้
ใกล้ๆกับตัวพระธาตุมีร้านกาแฟหลบมุมอยู่ตรงบริเวณที่จอดรถ ชื่อร้าน ความทรงจำ ร้านนี้มีบรรยากาศที่น่านั่งมากและยังเป็นที่นิยมมากในตอนเย็นเพราะเป็นจุดชมวิว ผู้คนมักจะมานั่งจิบกาแฟ ทานขนม นั่งดูพระอาทิตย์ตกจากร้านนี้
แต่ไม่ต้องห่วง
เพราะแค่เปิดทีวีก็เจอคุณชายหมอแล้วค่าาา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น